ในสังคมปัจจุบัน ผู้คนให้ความสำคัญกับค่านิยมการทำงานที่มีเม็ดเงินเป็นตัวชี้วัดความมั่นคงของชีวิต โดยเฉพาะค่านิยมภายในชุมชนที่มักปลูกฝั่งให้คนรุ่นใหม่รับราชการ หรือไม่ก็ออกไปทำงานในเมืองใหญ่ เพื่อโอกาสในการสร้างฐานะให้ดีขึ้นกว่าเดิม

ซึ่งวัฒนธรรมเหล่านี้พิจารณาจากทรัพย์สิน สถานภาพทางสังคม เกียรติยศ อำนาจ ระดับการศึกษา อาชีพ ความดี ชาติกำเนิด รวมถึงการเป็นเจ้าคนนายคน

เราไม่อาจรู้ได้อย่างแน่ชัดว่า ค่านิยมความเชื่อเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยใด ? แต่ที่พอจะอ้างอิงได้ คือหลังจากมีการประกาศแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2504 ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ผู้คนต่างตื่นตัวที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อการสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิต

การแข่งขันระหว่างบุคคล ไม่ว่าด้านการศึกษา การทำงาน หรือด้านอื่น ๆ ล้วนเกิดขึ้นในอัตราที่สูงขึ้น เพราะทุกคนต่างต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตนเอง

กระนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องความยากจนก็ไม่อาจแก้ไขได้ตลอดช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่จึงต้องต่อสู้กับความคาดหวังของครอบครัวที่ต้องการให้ลูกหลานมีหน้าที่การงานที่ดี โดยเฉพาะกับความเชื่อที่ว่า “ต้องรับราชการเท่านั้น” ชีวิตจึงจะประสบความสำเร็จ

นานเข้าจึงกลายเป็นความเชื่อในชุมชนว่า การผลักไสลูกหลานให้ออกจากถิ่นฐานบ้านเกิดคือความถูกต้อง และสามารถนำความสำเร็จมาสู่ชุมชนได้

แต่การออกไปใช้ชีวิตในสังคมภายนอกก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ด้วยปัจจัยหลายอย่าง อาทิเช่น สภาพสังคม เศรษฐกิจ รวมถึงสภาพจิตใจ ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับชีวิตต่างเมืองที่ไม่คุ้นเคยได้ พวกเขาจึงมีความมุ่งหวังอยากกลับถิ่นฐานบ้านเกิด เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตนเองอีกครั้ง ซึ่งอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ด้วยแนวคิดเกี่ยวกับการออกไปหาโอกาสเพื่อความมั่งคั่งของชีวิต ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่สามารถหลีกหนีคำถาม หรือพบกับแนวคิดที่ว่า “การกลับบ้านคือความล้มเหลวของชีวิต” พวกเขาจึงเผชิญกับความโดดเดี่ยวครั้งใหญ่ เพราะความเชื่อเหล่านี้ได้ฝั่งรากลึกลงไปเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของบริบทชุมชนที่แตกต่างกัน อย่างเช่นว่าในชุมชนแห่งหนึ่งมีแนวคิดเรื่องสังคมด้านการเกษตร พวกเขาจะยินดีอย่างมากที่ลูกหลานเลือกกลับมาทำอาชีพด้านการเกษตรที่ตกทอดมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ แต่ทว่าคนรุ่นใหม่กลับไม่ชื่นชอบที่จะทำการเกษตร เพราะมีความถนัดในด้านอื่นมากกว่า

แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน แต่ด้วยสภาวะความแตกต่างระหว่างแนวคิดของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า จึงเกิดเป็นความไม่เข้าใจกันจนนำไปสู่สภาวะโดดเดี่ยวทางความคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ดังนั้นการปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราต้องการจะเอาชนะค่านิยม ความเชื่อเดิมของชุมชนล้วนทำได้ยาก แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะหาจุดเชื่อมโยงระหว่างตนเอง ครอบครัว และชุมชนให้มีจุดยืนรวมกันได้ เชื่อเหลือเกินว่าเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงค่านิยมเรื่องการคืนถิ่นในชุมชนให้เกิดการยอมรับได้เช่นกัน

ขอเพียงไม่ยอมแพ้ และก้าวข้ามอุปสรรคด้วยความอดทน เราจะค้นพบความสุขบนถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเองได้อย่างแน่นอน