
“วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริง วันลอยกระทง”
“การกลับบ้าน” ไปหาต้นกำเนิดของความหมายในชีวิต กลับไปสู่สิ่งที่ทำให้เราเป็น “มนุษย์” อย่างแท้จริง เมื่อวันลอยกระทงมาถึงทุกปี เรามักหวนย้อนกลับไปหา “น้ำ” องค์ประกอบพื้นฐานของชีวิต แต่คำถามคือเรายังกลับไปด้วยความเข้าใจหรือเพียงทำตามความเคยชินของประเพณีที่ยังส่งต่อมาสู่ปัจจุบัน

ประเพณีลอยกระทงในอดีตเคยเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เป็นการแสดงออกถึงความเคารพและสำนึกในบุญคุณของสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิต แต่ในปัจจุบันภาพของประเพณีนี้กลับถูกห่อหุ้มด้วยแสงไฟและเสียงดนตรีเชิงบันเทิงมากกว่า เสน่ห์ของเทศกาลลอยกระทงกลายเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมกลายเป็นสินค้าผลิตซ้ำเพื่อการบริโภค ขณะเดียวกันที่เรา “ขอขมา” กลับกลายเป็นที่รองรับของขยะจำนวนมหาศาล
เมื่อวัฒนธรรมถูกทำให้เป็นสินค้า เช่นเดียวกับสายน้ำที่ถูกทำให้เป็นเพียงแหล่งทรัพยากร การลอยกระทงจึงกลายเป็นกระจกสะท้อนความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไประหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ จากความเคารพกลายเป็นความครอบครอง จากการ “ขอขมา” สู่การทำลายโดยไม่รู้ตัว หากเรามองให้ลึกลงไปในแม่น้ำที่ขุ่นมัว เราอาจเห็นเงาของสังคมที่หลงลืมความเชื่อมโยงระหว่างการดำรงอยู่ของผู้คนกับสิ่งแวดล้อมที่โอบอุ้ม


การอนุรักษ์ “แม่น้ำทุกสาย” เพื่อลดล่องลอยของขยะที่เกิดจากเทศกาลลอยกระทง ประเพณีความคิด ความเชื่อ และเสน่ห์ของผู้คนกับวัฒนธรรมที่ถูกส่งต่อ กลายเป็นบาดแผลที่ทิ้งไว้ให้กับธรรมชาติ หากแต่การฟื้นคืน “จิตสำนึกทางวัฒนธรรม” ให้กลับมาอีกครั้ง เพื่อสร้างค่านิยมใหม่ที่จะเชื่อมผู้คน และ สายน้ำไว้ด้วยกัน ย่อมเริ่มจากความเข้าใจว่า “น้ำ” คือ สัญลักษณ์ของความต่อเนื่องระหว่าง “อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” การรักษาน้ำให้ใสสะอาดจึงเป็นการรักษาความหมายของความเป็นมนุษย์ที่เชื่อมโยงกับโลกอย่างอ่อนโยนและมีสติ
สุดท้ายแสงจันทร์เพ็ญเดือนสิบสองที่ส่องบนคลื่นผืนน้ำ หากเราหยุดมองอย่างตั้งใจเงาจันทร์ที่สะท้อนจากเงาเทียนของกระทงน้อยใหญ่นั้น อาจกำลังสื่อถึงเงาของตนเองและสังคมที่ทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาในการหวนย้อนกลับในยุคนี้ “บ้าน” ที่อาศัยการเดินทางของร่างกาย และการเดินทางของจิตวิญญาณกลับสู่หัวใจเชื่อมโยงด้วยคุณค่าของวัฒนธรรม ที่มีสายน้ำเตือนว่าเราทุกคนคือผู้ดูแล “สายธารแห่งชีวิตเดียวกัน”

