ตอนเป็นเด็ก พ่อ-แม่ ขวนขวายหาเงินเพื่อให้เรามีโอกาสได้เรียนในที่ดีดี ท่านจึงขายไร่ ขายนา ส่งเราเรียนที่ต่างจังหวัด หรือ กรุงเทพฯ ให้เราเรียนปริญญาสูง ๆ เพื่อจะได้หางานทำในเมืองใหญ่ มีรายได้เป็นเดือนดีกว่าเป็นชาวนาที่รายได้ไม่แน่นอน ยิ่งถ้าได้เป็นข้าราชการ มียศ มีตำแหน่ง มีเงินเดินมั่นคง เราสามารถส่งเงินให้พ่อแม่ใช้ที่ต่างจังหวัดได้ทุกเดือน สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นค่านิยมที่ผลักไสคนหนุ่ม-สาว ให้ไกลจากชุมชนบ้านเกิดมากขึ้นทุกที

เมื่อคนรุ่นใหม่ได้รับการศึกษา ฝึกฝนทักษะ และความสามารถจนชำนาญแล้ว แม้จะได้ชื่อว่าเติบโตจากชนบท แต่ด้วยสภาพทางสังคมของชุมชนที่ค่อนข้างล้าหลัง ทำให้มีคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย รู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างตนเองกับชุมชน

จากบทเรียนของอาสาคืนถิ่น รุ่น 1-6 พบว่ามีอาสาจำนวนไม่น้อยที่เมื่อกลับชุมชนไปแล้ว ต้องพบปัญหาเรื่องไลฟ์สไตล์ส่วนตัวที่แตกต่างจากคนในชุมชนอยู่พอสมควร

เนื่องจากบริบทของชนบทในประเทศไทยเป็นสังคมกสิกรรมเป็นหลัก ชาวชุมชนรุ่นเก่าจึงมีอาชีพเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่ และอาจมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งที่ทำอาชีพค้าขาย ไปจนถึงรับจ้างทั่วไป

ในทางกลับกัน คนหนุ่ม-สาวที่หวนคืนถิ่น กลับไม่ได้มีทักษะด้านเกษตรกรรมเท่ากับกับคนรุ่นก่อน เนื่องจากพวกเขาต่างได้รับความรู้ตามสาขาวิชาที่ได้ร่ำเรียนมา อย่างเช่น บางคนเป็นศิลปิน นักการเงิน นักกิจกรรม วิศวกร นักการตลาด เป็นต้น จึงทำให้มีไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างโดดเด่นเฉพาะตัว ทำให้เมื่อต้องกลับมาอยู่ในชุมชนที่เป็นสังคมเกษตรกรรมแล้ว จึงยากต่อการปรับตัว

กระทั่งกับคนที่ไม่ได้เรียนสูงมากนัก แต่ต้องออกจากชุมชนเพื่อหางานทำ และเคยชินกับชีวิตต่างจังหวัด หรือชีวิตในกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ทุกอย่างต้องเร่งรีบตลอดเวลา เมื่อได้ใช้ชีวิตคนเมืองจนเคยชินแล้ว ทำให้ทุกครั้งที่กลับบ้านเกิด พวกเขาจะนำแนวคิด และไลฟ์สไตล์แบบคนเมืองกลับมาด้วย

จากความแตกต่างด้านไลฟ์สไตล์นี้เอง ทำให้หลายครั้งเกิดปัญหาความไม่เข้าใจกันขึ้นระหว่างคนคืนถิ่นกับคนในครอบครัว ตลอดไปถึงคนในชุมชนด้วย

ซึ่งในเรื่องความคิด ความอ่าน และความชอบส่วนตัว ต่างเป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้ ยิ่งเมื่อเราต้องอาศัยอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ “การยอมรับในความแตกต่างทางความคิดซึ่งกันและกัน”

แม้ว่าจะมีวิถีการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันอยู่บ้าง เพราะต่างคนต่างความถนัด ต่างคนต่างความคิด ต่างความเชื่อ และต่างมุมมอง แต่ถ้าหากเราเปิดใจยอมรับในความแตกต่างซึ่งกันและกัน สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ บนพื้นฐานของเหตุและผล ชุมชนของเราก็จะพัฒนาได้อย่างยั่งยืน การกลับบ้านของเราก็จะไม่กลายเป็นสิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อนอีกต่อไป